เบื่อชีวิตเมืองกรุง หันมาเพาะ “สาหร่ายเม็ดพริก” ขายสร้างรายได้กิโลละ 250 บาท

 

สาหร่ายทะเลได้ถูกนำมาปรุงเป็นอาหารต่างๆ มากมายตามภูมิปัญญาของคนที่อยู่ริมชายฝั่งทะเล หรือบนเกาะ ชาวญี่ปุ่นและชาวจีนขึ้นชื่อในเรื่องเมนูอาหารที่ทำจากสาหร่ายเนื่องจากชาวจีนและญี่ปุ่นนิยมรับประทานอาหารที่ปรุงจากสาหร่าย ในการบริโภคส่วนใหญ่จะเป็นการบริโภคสาหร่ายแห้งที่ผ่านกรรมวิธีมาแล้ว เช่น ข้าวห่อสาหร่ายของญี่ปุ่นซึ่งปัจจุบันคนไทยคุ้นเคยกันดีเพราะมีการจำหน่ายกันแพร่หลายแม้ในตลาดนัด ส่วนสาหร่ายที่ชาวไทยรู้จักกันดีของชาวจีนคือ จี๋ฉ่าย ที่นำมาทำแกงจืดสาหร่ายรับประทานกันอยู่ทั่วไป

ส่วนในประเทศไทยสาหร่ายทะเลเป็นเมนูอาหารที่มีรับประทานทางภาคใต้และภาคตะวันออกมาเนิ่นนานแล้ว เช่น ยำสาหร่าย ชุบแป้งทอด หรือนำมาจิ้มรับประทานกับน้ำพริก สาหร่ายบางชนิดผ่านการอบแห้ง เช่น สาหร่ายผมนาง สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานและนำมาปรุงอาหารได้สะดวกกว่าเดิม ส่วนสาหร่ายที่นำมาเป็นขนมในซองสำเร็จรูปก็เป็นที่นิยมของผู้บริโภคจนเจ้าของขึ้นแท่นเป็นเถ้าแก่

สาหร่ายเม็ดพริกหรือสาหร่ายพวงองุ่น เป็นสาหร่ายทะเลที่นำมารับประทานสด สมัยก่อนต้องอาศัยเก็บจากชายหาดเมื่อถูกคลื่นซัดมาจากทะเล ซึ่งมีในบางฤดูเท่านั้น ปัจจุบันสาหร่ายเม็ดพริกสามารถเพาะเลี้ยงแล้ว ในสาหร่ายจะมีแมกนีเซียมช่วยให้กล้ามเนื้อและประสาททำงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงแคลเซียมที่บำรุงกระดูก ไอโอดีนป้องกันและรักษาโรคคอพอก สังกะสีที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และมีเบต้าแคโรทีนช่วยต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงกรดอะมิโนที่จำเป็นหลายอย่าง ไขมันในสาหร่ายมีอยู่ในปริมาณต่ำให้พลังงานเพียงเล็กน้อยแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเหมาะสำหรับผู้ป่วย ความดันสูง โรคหัวใจ และเบาหวาน

เมื่อก่อนสาหร่ายเม็ดพริกมักนำมารับประทานกับน้ำพริก ต่อมาร้านอาหารริมทะเลได้นำมาดัดแปลงเป็นส้มตำสาหร่าย มีโอกาสได้ชิมมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาได้ศึกษาในรายละเอียดเอามาให้อ่านกัน คราวนี้มีโอกาสเจอเกษตรกรคนทำจริงจึงนำมาเสนอ คุณจีระศักดิ์ มุสิแดง เป็นเจ้าของฟาร์มสาหร่ายชื่อ นายหัวฟาร์ม ตั้งอยู่ที่ชายหาดท้ายเหมือง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ใกล้กับอุทยานแห่งชาติหาดท้ายเหมือง

คุณจิระศักดิ์ เล่าให้ฟังว่า จบการศึกษาทางด้านวิศกรโทรคมนาคม จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ทำงานด้านโทรคมนาคมในกรุงเทพฯ มา 6 เดือน รู้สึกอึดอัดกับชีวิตในเมือง อยากมีธุรกิจของตัวเอง มีโอกาสได้ดูการเลี้ยงสาหร่ายของญี่ปุ่นในสื่อออนไลน์จึงเกิดความชอบ ไม่นึกว่าในประเทศไทยมีการเลี้ยงเหมือนกัน ต่อมาได้เจอเพจของประมงชายฝั่ง จังหวัดเพชรบุรี เปิดอบรมการเลี้ยงสาหร่ายหางกระรอกหรือที่จังหวัดพังงาเรียกสาหร่ายเม็ดพริก จึงสมัครเข้าอบรมเมื่อเดือนกรกฎาคม 2559 มานี้เอง ใช้เวลา 1 วันเต็ม ได้มีโอกาสเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ในฟาร์มทะเลตัวอย่างตามพระราชดำริที่จังหวัดเพชรบุรี

หลังจากผ่านการอบรมมาก็ได้เริ่มหาฟาร์มเลี้ยง โดยได้เช่าที่หน้าหาดท้ายเหมืองซึ่งเป็นบ่อเพาะพันธุ์กุ้งเก่า บนพื้นที่ประมาณ 50 ตารางวา แล้วจึงยื่นใบลาออกจากบริษัทมาทำเต็มตัว ได้มาปรับปรุงระบบน้ำ ระบบไฟ และโครงสร้างอื่นหมดเงินไปประมาณ 150,000 บาท ลองผิดลองถูกมาจนประสบผลสำเร็จ

การเตรียมบ่อ

จากการศึกษาการเลี้ยงสาหร่ายในบ่อดิน จำเป็นต้องมาประยุกต์เลี้ยงในบ่อปูน ซึ่งต้องเปลี่ยนวิธีการหลายอย่าง การเตรียมบ่อเริ่มจากการสูบน้ำเข้าให้เต็มบ่อปูนขนาดความกว้าง 3.5 เมตร ยาว 4 เมตร ระดับน้ำสูงประมาณ 1-1.5 เมตร ใส่คลอรีนฆ่าเชื้อ 5 ช้อนโต๊ะ ซึ่งบรรจุน้ำประมาณ 12 คิวบิกเมตร ขนาดของบ่อแล้วแต่สภาพพื้นที่ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญนัก แต่ระดับน้ำเป็นสิ่งสำคัญ ใช้เครื่องให้ออกซิเจนตีน้ำไว้ 1 คืน โดยเดินท่อพีวีซี 2 แถวไว้ที่พื้นบ่อ เจาะรูขนาด 1 มิลลิเมตร ไว้ทั่วท่อ 20-30 จุด เพื่อจะได้กระจายได้ทั่วบ่อ หลังจากนั้นปล่อยน้ำทิ้ง ล้างบ่อด้วยเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ปล่อยทิ้งไว้ให้แสงแดดส่องฆ่าเชื้อประมาณ 3-4 วัน จึงปล่อยน้ำเข้าบ่ออยู่ในระดับที่พอเหมาะ

น้ำ ปัจจัยสำคัญ

การเลี้ยงสาหร่ายให้มีคุณภาพ น้ำจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ความเค็มของน้ำจะอยู่ที่ระดับ 25-30 พีพีที ถ้าความเค็มต่ำกว่า 25 พีพีที นั้นสาหร่ายจะละลายหายไป และถ้าความเค็มสูงกว่า 40 สาหร่ายก็จะตายเช่นกัน และถ้าเกิน 35 พีพีที สาหร่ายจะมีกลิ่นคาว ในกรณีที่น้ำเค็มที่สูบจากทะเลเค็มเกินต้องเติมน้ำจืดเพื่อเจือจางในระดับที่เหมาะสม การเติมน้ำจืดควรระมัดระวังเรื่องคลอรีนที่ใส่ในน้ำประปา จึงควรมีบ่อพักน้ำ

แต่ถ้าน้ำมีระดับความเค็มน้อยจากการวัดค่าตอนสูบน้ำเข้าก็จะหยุดสูบน้ำเข้าเพื่อรอให้น้ำทะเลมีระดับค่าใกล้เคียงกับปกติ เช่น ในช่วงหลังฝนตกน้ำเค็มจะมีค่าน้อยกว่า ต้องทิ้งไว้สักระยะหนึ่งให้เข้าสู่ภาวะความเค็มปกติ แต่ที่หาดท้ายเหมืองโชคดีที่มีโรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม และบ่อเลี้ยงกุ้งทิ้งน้ำเสียลงทะเล น้ำที่ใช้ตลอดปีจึงมีความสะอาดปลอดภัยกว่าที่อื่น ไม่จำเป็นต้องฆ่าเชื้อเลย ที่มั่นใจเช่นนี้เพราะคุณภาพของผลผลิตสาหร่ายจะเป็นตัววัดคุณภาพของน้ำ ควรจะต้องมีการตรวจค่าความเค็มของน้ำทุกๆ 3 วัน ถ้าพบว่าความเค็มลดลงหรือมากเกินก็ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำทันที แต่ถ้าค่าความเค็มเหมาะสมก็สามารถเลี้ยงต่อไปได้อีก แต่ไม่ควรเกิน 5 วัน

เมื่อเตรียมน้ำเสร็จแล้ว ก็นำต้นสาหร่ายที่เป็นแม่พันธุ์มาใส่ในแผงเพาะสาหร่าย แผงดังกล่าวทำจากท่อพีวีซีและตาข่ายพลาสติกสีดำ รูตาข่าย 10 มิลลิเมตร เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 50 คูณ 50 เซนติเมตร ใช้ตาข่าย 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นที่อยู่ของสาหร่าย ชั้น 2 เป็นฝาปิด 1 บ่อ ลงได้ 9-10 แผง ต้นพันธุ์ที่เหมาะจะแข็งกว่าปกติ และมียอดอ่อนเป็นพวงขนาดเล็กๆ อยู่เต็ม เมื่อวางต้นพันธุ์สาหร่ายกระจายจนทั่วก็เอาตาข่ายชั้น 2 มาปิดไว้พร้อมมัดเชือกทั้งสี่ด้านป้องกันไม่ให้ต้นพันธุ์หล่นออกจากแผง แล้วนำมาหย่อนลงในบ่อตามความลึกที่ 30-60 เซนติเมตร จากผิวน้ำในบ่อ

ในช่วงระหว่างดูแลหมั่นสังเกตน้ำ ถ้าน้ำใสเกินไปแสดงว่าอาหารสำหรับสาหร่ายหมดแล้ว จึงควรถ่ายน้ำออกเอาน้ำใหม่เข้ามา และต้องตรวจค่าความเค็มทุกๆ 3 วัน น้ำที่ดีเหมาะสมกับการเลี้ยงสาหร่ายจึงจะมีความขุ่นเล็กน้อย ระดับของกระชังในฤดูร้อนควรจะต้องอยู่ลึกกว่าปกติ เพราะมีแสงแดดส่องทำให้อุณหภูมิของน้ำสูงสุด ในช่วงหน้าหนาวสาหร่ายเม็ดพริกสามารถเจริญเติบโตได้ดีและผลผลิตมีจำนวนมากกว่าฤดูอื่น

ผลผลิตในฤดูหนาวสามารถเก็บเกี่ยวได้ภายใน 1 เดือน ส่วนฤดูฝนจะใช้เวลา 45 วัน และในฤดูร้อนจะใช้เวลา 50-60 วัน ส่วนผลผลิตในฤดูหนาวจะมีน้ำหนักถึงแผงละ 12-14 กิโลกรัม ส่วนหน้าฝนจะมีผลผลิตประมาณ 8-11 กิโลกรัม ส่วนหน้าร้อนผลผลิตสาหร่ายจะลดลงเหลือแค่ 6-8 กิโลกรัมเท่านั้น

วิธีการเก็บเกี่ยวผลผลิต

ในฟาร์มนายหัวจะแบ่งเป็นบ่อเลี้ยง 12 บ่อ บ่อเพาะพันธุ์ 2 บ่อ รวมเป็น 14 บ่อ โดยปกติจะเลี้ยงคราวละ 3 บ่อ เพื่อให้มีผลผลิตต่อเนื่อง การเก็บสาหร่ายก็สามารถทำได้ง่ายๆ โดยดึงแผงเลี้ยงสาหร่ายขึ้นจากน้ำแล้วเอาสันมือกดลงไปที่ตาข่าย ช้อนเอาสาหร่ายมาใส่ภาชนะจนหมดแผง แล้วนำมาใส่บ่อที่มีเครื่องตีออกซิเจนที่มีขนาดเล็กกว่าบ่อเลี้ยง เพื่อให้สาหร่ายสะอาดปราศจากสิ่งเจือปนและเป็นการพักฟื้นให้สาหร่ายแข็งแรงทนทานต่อการขนส่งรวมถึงการเก็บรักษา ใช้เวลาในบ่อ 2-3 วัน จึงนำมาจำหน่าย

สาหร่ายเม็ดพริกจะถูกบรรจุในถุงซิปพลาสติกขนาดบรรจุ 1-2 กิโลกรัม แล้วใส่กล่องโฟมอีกที เพื่อไม่ให้ช้ำเสียหาย ส่งทางขนส่งสาธารณะทั่วไป ส่วนผู้ซื้อเมื่อได้รับสาหร่าย มีคำแนะนำว่าห้ามแช่น้ำจืดเด็ดขาดเพราะสาหร่ายจะละลายหายไปกับน้ำจืดและห้ามแช่ตู้เย็นสาหร่ายจะละลายเป็นน้ำ แนะนำให้เก็บในอุณหภูมิห้องซึ่งสามารถเก็บได้นาน 7-10 วัน และหมั่นรินน้ำที่ค้างถุงทิ้งด้วย สนนราคาสาหร่ายเม็ดพริกอยู่ที่กิโลกรัมละ 200-250 บาท ค่าขนส่งกิโลกรัมละ 100 บาท ค่ากล่องโฟม 40-100 บาท กล่องโฟมใหญ่สามารถบรรจุได้ 10 กิโลกรัม

สนใจลองชิมส้มตำสาหร่ายได้ที่ ร้านจ๊อสพิซซ่า หน้าหาดท้ายเหมือง หรือติดต่อสั่งซื้อสาหร่ายเม็ดพริกได้ที่ คุณจิระศักดิ์ มุสิแดง โทรศัพท์ (087) 566-9855

ขอขอบคุณ : เทคโนโลยีชาวบ้าน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สูตรเด็ดขนมจีบหมู จีบกุ้ง จีบปู เก็บไว้ทำขายหรือทำกินกับครอบครัว อร่อยสุดๆ

ให้ไหว้ก่อนในช่วงสิ้นปีนี่ ทำแล้วจะเจริญกันทุกคน

ปลอดภัยชัวร์ "ลูกชิ้นหมูเด้ง" ปันสูตรทำเองไม่ต้องง้อร้าน

17 ประโยชน์จาก "เบียร์" แม้แต่ฟองขาวๆ ก็มีดีกว่าที่คุณคิด!!

เก็บไว้ทำกิน 2สูตรทอดน้ำปลาแสนอร่อย หอมน้ำปลา แถมไม่มีน้ำมัน

แจกสูตรอาหาร “แกงไตปลาน้ำข้น” พร้อมวิธีทำแกงไตปลายังไง ให้หอมถึงเครื่องแกง

แจกสูตร “ทอดไข่ดาว” ยังไงให้ให้สวยน่ากิน เสิร์ฟคู่พริกน้ำปลา

แบ่งปันสูตร ก๋วยเตี๋ยวปากหม้อ

สูตรห่อหมกปลากราย อร่อยกว่าร้านดัง

แจกฟรี 5 สูตรน้ำจิ้มรสเด็ด กินกับอะไรก็อร่อย ทำกินเองได้ง่ายๆ ทำขายรวย